ประวัติ
พระช่วงเกษตรศิลปการ มีชื่อเดิมว่า ช่วง โลจายะ เกิดเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2442 ที่บ้านแซ่ ต.พระประแดง อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ บิดาชื่อ ร.อ.หลวงศรี พลแผ้ว ร.น. (ขาว โลจายะ)
คุณพระช่วงสมรสกับ คุณหญิงช่วงเกษตรศิลปการ (คุณสำอางค์ ไรวา) มีบุตรธิดารวม 6 คน คือ
1) นางชื่นสุข โลจายะ
2) แพทย์หญิงปานทิพย์ วิริยะพานิช
3) รศ.ดร.สิรินทร์ วิบูลย์นิยม
4) นายแพทย์สมชาติ โลจายะ
5) พ.ต.ท. สมชัย โลจายะ
6) นายชวาล โลจายะ
1. เข้าศึกษาชั้นประถมศึกษา ที่โรงเรียนวัดทรงธรรม อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ
2. มัธยมศึกษาที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
3. ได้รับทุนกระทรวงธรรมการไปเรียนวิชาช่าง ณ สหรัฐอเมริกา แต่ระหว่างนั้นอยู่ในเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 1 รัฐบาลเกรงจะเกิดอันตรายในการเดินทางของนักเรียนทุน จึงได้เปลี่ยนให้ฝากเรียนที่ประเทศฟิลิปปินส์ชั่วคราว ณ มหาวิทยาลัย ลอสบานโยส ประเทศฟิลิปปินส์
4. เรียนอยู่ได้ปีที่ 2 ที่ประเทศฟิลิปปินส์ (พ.ศ. 2464) รัฐบาลได้ส่งไปเรียนต่อยังสหรัฐอเมริกา โดยศึกษาที่มหาวิทยาลัยวิสดอนซิน จนจบการศึกษาได้รับปริญญาตรีและปริญญาโท (สัตวบาล) เมื่อปี พ.ศ. 2467 และกลับประเทศไทย
รับราชการ
1. ครั้งแรกบรรจุเป็นอาจารย์ประจำกระทรวงธรรมการ และแยกย้ายไปสอนอยู่โรงเรียนฝึกหัดประถมกสิกรรม (ปปก.) ที่อำเภอบางสะพานใหญ่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ปี พ.ศ. 2467
2. พ.ศ. 2472 กระทรวงกลาโหมขอยืมตัวไปดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนกเสบียงสัตว์ และเป็นผู้อำนวยการสอนวิชากสิกรรมแก่ทหาร
3. พ.ศ. 2476 กระทรวงเกษตรและพาณิชย์ได้ขอโอนตัวท่านมาสังกัดกรมตรวจกสิกรรม(กรมเกษตร) แล้วส่งท่านไปก่อตั้งสถานีทดลองกสิกรรมภาคเหนือ ที่บ้านแม่โจ้ ต.หนองหาร อ.สันทราย จ. เชียงใหม่
4. พ.ศ. 2477 กระทรวงธรรมการได้ติดตั้งโรงเรียนฝึกหัดครูประถมกสิกรรม (ปปก.) ภาคเหนือที่แม่โจ้ และขอตัวคุณพระช่วงฯ ย้ายมาสังกัดกระทรวงธรรมการ และแต่งตั้งให้เป็นอาจารย์ใหญ่และหัวหน้าสถานีทดลองกสิกรรมภาคเหนือในเวลาเดียวกัน
5. พ.ศ. 2482 ได้รับแต่งตั้งเป็นอธิบดีกรมเกษตร
6. พ.ศ. 2492 ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตราธิการ (สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี)
7. พ.ศ. 2494 เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลใหม่ จึงไปรับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการธนาคารเกษตร (ธนาคารกรุงไทยในปัจจุบัน)
8. พ.ศ. 2498 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นทูตวัฒนธรรม และผู้ดูแลนักเรียนไทยในสหรัฐอเมริกา
9. พ.ศ. 2502 ครบเกษียณอายุราชการ เดินทาง กลับประเทศไทยได้เป็นข้าราชการบำนาญ
10. พ.ศ. 2518-2522 ได้รับพระมหากรุณาโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่งนายกสภาสถาบันเทคโนโลยีการเกษตรแม่โจ้
ศาสตราจารย์ ดร.วิภาต บุญศรี วังซ้าย ม.ว.ม. อดีตอธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีการเกษตรแม่โจ้ เกิดเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2459 ที่บ้านสันกลาง ต.ในเวียง อ.เมือง จ.แพร่ เป็นบุตรคนที่ 7 ของนายบุญมา และนางบัวเกี๋ยง วังซ้าย
ต้นตระกูลของ ศ.ดร.วิภาต คือทวดนั้นมาจากเชียงแสน ชื่อ พระยาหัวเวียงแก้ว และบรรดาลูกชาย ซึ่งมีศักดิ์เป็นปู่ของท่าน ศ.ดร.วิภาต นั้นก็คือ เจ้ามหาจักร์ เจ้ามหาชัย เจ้ามหาเทพ เจ้ามหาพรหม ทั้งหมดที่เอ่ยชื่อดังกล่าวถือเป็น ต้นตระกูล "วังซ้าย"
เจ้ามหาจักร์นั้นสมรสกับธิดาของเจ้าวังซ้าย อันเป็นศักดินาเทียบวังซ้าย วังขวา แบบวังหน้าวังหลังเมื่อเจ้าวังซ้ายทิวงคตในเวลาต่อมา เจ้ามหาจักร์ก็ได้รับการแต่งตั้งให้รับบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าวังซ้ายจากเจ้าหลวง เมืองแพร่
ต่อมาได้มีพระราชบัญญัติใช้นามสกุลขึ้น ท่านจึงใช้ "วังซ้าย" เป็นนามสกุลสืบต่อมา ส่วนเจ้าคุณปู่โดยตรงของท่าน ศ.ดร.วิภาต คือเจ้ามหาชัย นั้นมีบุตรชื่อ บุญมา วังซ้าย คือ บิดาของท่าน ดร.วิภาต นั่นเอง
ศ.ดร.วิภาต มีพี่น้องรวม 8 คน ดังนี้คือ
1. นายคำปัน วังซ้าย (ภายหลังเปลี่ยนสกุลเป็น "ชยันตราคาม")
2. นางคำป้อ วังซ้าย (ใช้นามสกุลสามีเป็น "อินทราวุธ")
3. นางคำป่าย วังซ้าย (เปลี่ยนชื่อภายหลังเป็น "โสภา")
4. นางสมนา วังซ้าย (ใช้นามสกุลสามีเป็น "ไพชยนต์")
5. นางไฮ;แก้ว วังซ้าย (ใช้นามสกุลสามีเป็น "อนันตจิตร")
6. นางบุญปั๋น วังซ้าย (ใช้นามสกุลสามีเป็น "ทิพย์วิชัย")
7. นายบุญศรี วังซ้าย (ภายหลังเพิ่มชื่อเป็น วิภาต บุญศรี วังซ้าย)
8. นางบัวเขียว วังซ้าย (ใช้นามสกุลสามีเป็น "โกศัยเสวี" และชื่อใหม่เป็น "อรพรรณ")
ปัจจุบันพี่น้องทั้งหมดถึงแก่กรรมไปเจ็ดคน เหลือนางบุญปั๋น ทิพย์วิชัย พี่สาวคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่
ชีวิตเมื่อเยาว์วัยนั้น ท่านเริ่มเข้าเรียนในชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนวัดหลวง อ.เมือง จ.แพร่ ส่วนชั้นมัธยมศึกษานั้นเรียนที่โรงเรียนพิริยาลัย จ.แพร่
เนื่องจากครอบครัวท่านเป็นผู้ที่ฐานะดี ประกอบกับท่านเองก็เรียนหนังสือเก่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อจบการศึกษาชั้นมัธยม 6 จากแพร่ ท่านจึงเดินทางมาจังหวัดเชียงใหม่ และเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย เมื่อ พ.ศ.2476 ท่านเรียนอยู่ที่โรงเรียนยุพราชได้เพียงปีเดียว ก็ได้มีการจัดตั้งโรงเรียนฝึกหัดครูประถมกสิกรรมที่แม่โจ ้ท่านจึงย้ายมาเรียนที่โรงเรียนฝึกหัดครูประถมกสิกรรมแมโจ้เป็นรุ่นแรก เมื่อปี พ.ศ.2477 ซึ่งถือเป็นรุ่นบุกเบิกและสร้างแม่โจ้
เมื่อเรียนจบจากแม่โจ้ พ.ศ. 2478 ได้เข้าบรรจุทำงานเป็นพนักงานยางที่หาดใหญ่ จ.สงขลา หนึ่งปี ปีถัดมารัฐบาลได้ประกาศให้มีการสอบชิงทุนหลวงไปศึกษาต่อต่างประเทศ
การสอบสัมภาษณ์ชิงทุนการศึกษาต่อต่างประเทศสมัยนั้น โอกาสที่นักเรียนเกษตร หรือผู้ที่อยู่ต่างจังหวัดมักจะมีโอกาสแข่งขันกับผู้เรียนจบจากโรงเรียนในกรุงเทพไม่ได้ แต่เนื่องจากท่าน ศ.ดร.วิภาต เป็นผู้มีอัธยาศัยดีชอบพบปะ พูดคุยคบค้ากับผู้อื่นเป็นประจำทำให้มีโอกาสได้ฝึกการพูด การฟังภาษาอังกฤษจากชาวต่างประเทศที่ทำงานด้วยกัน จึงทำให้ท่านมีความสามารถในการพูด การฟังภาษาอังกฤษได้อย่างแตกฉาน ในระหว่างทำงานอยู่ภาคใต้
ท่านสามารถสอบชิงทุนหลวงไปเรียนต่อต่างประเทศได้อย่างง่ายดาย แต่เนื่องจากระหว่างนั้นเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทางรัฐบาลจึงให้ท่านเลือกเรียนเฉพาะประเทศในเอเซียเท่านั้น คือ ญี่ปุ่น หรือ ฟิลิปปินส์
ท่านเล่าให้ฟังอยู่ ท่านเลือกไปฟิลิปปินส์ เพราะเห็นว่าระบบการศึกษาใช้ภาษาอังกฤษ ถ้าไปเรียนญี่ปุ่นท่านจะต้องไปเริ่มหัดเรียนญี่ปุ่นใหม่ จึงไม่เลือก ซึ่งท่านเคยพูดเสมอๆ ในเวลาต่อมาว่าน่าจะเลือกเรียนที่ญี่ปุ่นจึงจะได้ประโยชน์ยิ่ง
ท่านศึกษาในมหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์ เมืองลอสบานโยส (UPLB) สาขาเศรษฐศาสตร์ จนจบปริญญาตรีการศึกษาเป็นที่พอใจยิ่ง
เมื่อสำเร็จการศึกษาจากลอสบานโยสแล้ว ก็เดินทางด้วยเรือกลับประเทศไทย เมือพ.ศ. 2484 และกลับมารับราชการเป็นอาจารย์ที่แม่โจ้ โดยรับตำแหน่งเป็นอาจารย์โดยรับตำแหน่ง เป็นอาจารย์ผู้ปกครอง
เนื่องจากท่านเป็นคนรักชอบชีวิต และสนใจด้านการเมืองมาตลอด อีกทั้งมีญาติพี่น้องเพื่อนฝูงมองเห็นหน่วยก้านท่านว่าน่าจะสมัครลงเล่นการเมืองมากกว่า เพราะมีทั้งความรู้ ชาติตระกูลและความสัมพันธ์กับผู้คนทั่วไปเป็นอย่างดี
พ.ศ.2489 ท่านจึงลงสมัครแข่งขันเป็นผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 2 (ครั้งแรกไม่ได้รับการเลือก)ได้สำเร็จ
ชีวิตการเมือง และการได้เป็นผู้แทนราษฎรจังหวัดแพร่ยุคนั้น ทำให้มีพรรคการเมืองต่าง ๆทาบทามท่านไปรวมพรรค และดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และร่วมก่อตั้งพรรคกสิกรขึ้นเป็นครั้งแรก
อย่างไรก็ตาม พอปี 2491 มรสุมทางการเมืองทำให้มีการยุบสภาผู้แทนราษฎร
ท่านลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งหลังสุดใหม่ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ จึงได้อำลาชีวิตการเมืองไปทำไร่ส่วนตัวอยู่ที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา โดยเป็นเกษตรกรเต็มตัว เพื่อผลิตผักส่งตลาดกรุงเทพฯ
ชีวิตการทำไร่ และปลูกผักส่งตลาดกรุงเทพฯ นั้นท่านเล่าว่าได้ทำให้ท่านเกิดประสบการณ์และเป็นเกษตรกรเต็มตัวถึง 8 ปีเต็ม
พอถึง ปี พ.ศ. 2497 หลวงปราโมทย์ จรรยาวิภาต ซึ่งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมอาชีวศึกษาขณะนั้น ขอร้องให้ท่านไปช่วยแม่โจ้เพราะเป็นช่วงที่ขาดผู้บริหารโรงเรียนเกษตรกรรมแม่โจ้เพราะเสียดายวิชาความรู้ความสามารถ อยากให้ไปช่วยปรับปรุงแม่โจ้ ทานจึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นอาจารย์ใหญ่ชั้นเอกของโรงเรียนเกษตรกรรมแม่โจ้ ซึ่งถือว่าเป็นข้าราชการที่มียศสูงของจังหวัดเชียงใหม่ ถัดจากเป็นข้าราชการจังหวัดทีเดียวและอยู่ปกครองแม่โจ้จนวาระสุดท้ายของชีวิต
ศ.ดร.วิภาต สมรสกับนางสมจินต์ ตุงคพลิน มีบุตรธิดา ดังนี้คือ
1. นายไพศาล วังซ้าย
2. นางพัชรินทร์ สุกันศีล
3. น.ส.ปริศนา วังซ้าย
4. นายปรัชญา วังซ้าย
ประวัติการศึกษา
พ.ศ. 2475 สอบไล่ได้มัธยมปีที่ 6 จากโรงเรียนประจำจังหวัดแพร่ "พิริยาลัย"
พ.ศ. 2477 สอบไล่ได้มัธยมปีที่ 8 จากโรงเรียนประจำจังหวัดเชียงใหม่ "ยุพราชวิทยาลัย"
พ.ศ. 2478 สอบไส่ได้ประโยคครูกสิกรรมจากโรงเรียนฝึกหัดครูประถมกสิกรรมแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่
พ.ศ. 2479 สอบชิงทุนรัฐบาลได้ในนามของกรมเกษตรและการประมงไปเรียนวิชาเกษตร ณ ประเทศฟิลิปปินส์
พ.ศ. 2484 สอบได้ปริญญาตรี B.Sc. Agri. จากมหาวิทยาลัยแห่งประเทศฟิลิปปินส์ ณ ลอสบานโยน (UPLB)
พ.ศ. 2502 สอบไล่ได้ปริญญาโท M.S. in Agriculture จากมหาวิทยาลัย Oklahoma State University, Okla U.S.A
ประวัติการรับราชการ
พ.ศ. 2479 พนักงานเกษตรกรรมผู้ช่วย ชั้น 2 แผนกยาง กองขยายการกสิกรรม กรมเกษตรและการประมง
พ.ศ. 2485 นักเกษตรโท เตรียมวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรมเกษตรและการประมง แม่โจ้ เชียงใหม่
พ.ศ. 2487 อาจารย์โท โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาเกษตรศาสตร์ กรมเกษตรและการประมง
พ.ศ. 2489 ได้รับเลือกเป็นผู้แทนราษฎรจังหวัดแพร่ ลาออกราชการเพื่อรับหน้าที่ผู้แทนราษฎรได้รับแต่งตั้งเป็นเลขานุการ รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์
พ.ศ. 2497 กลับเข้ารับราชการ เป็นอาจารย์เอก ตำแหน่งอาจารย์ใหญ่โรงเรียนเกษตรกรรมแม่โจ้ กองโรงเรียน กรมอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ
พ.ศ. 2499 ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการวิทยาลัยเกษตรกรรมเชียงใหม่ แม่โจ้
พ.ศ. 2508 เป็นผู้อำนวยการวิทยาลัยชั้นพิเศษวิทยาลัยเกษตรกรรมเชียงใหม่ แม่โจ้
พ.ศ. 2518 - 2522 ได้รับตำแหน่งอธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีการเกษตรแม่โจ้เชียงใหม่ (สมัยที่ 1)
พ.ศ. 2520 ครบเกษียณอายุราชการ
พ.ศ. 2522 ได้รับตำแหน่งอธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีการเกษตร แม่โจ้ เชียงใหม่ (สมัยที่ 2)